โคลอสเซียม สัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยโรมัน

โคลอสเซียม

คงมีคนอยากรู้ว่าโคลอสเซียม อยู่ประเทศอะไร ถ้าหากว่ามีโอกาสได้ไปเที่ยวอิตาลี หลายคนก็อาจจะคิดถึงกรุงโรม แต่มีอีกที่หนึ่งที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือ โคลอสเซียม เพราะว่าเป็นสถาปัตยกรรม ที่เก่าแก่ที่สุดในยุคโรมัน และถึงแม้ว่าเรา จะทราบกันดีว่าเจ้าโคลอสเซียมนี้ จะเป็นแค่สนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ของยุคโบราณ แถมยังกลายเป็นสถานที่ท่องที่ยวที่นักท่องเที่ยว มีเป้าหมายอยากจะไม่ได้น้อยไปกว่า นครเพตรา หรือ เที่ยวกรีซ

ซึ่งโคลอสเซียม ลักษณะเด่น คือขนาดของเจ้าสนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้ มีขนาดของเส้นรอบวงกว้างถึง 527 เมตร และมีความสูงถึง 57 เมตร ซึ่งเป็นสนามกีฬาที่จุดคนได้มากถึง 50,000 คนเลยทีเดียว ทำให้ความยิ่งใหญ่ของที่นี่ ได้ถูกบันทึกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาแล้วปีละมากๆ ค่ะ

โคลอสเซียม ลักษณะเด่น

โคลอสเซียม สิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้หลายคนอยากจะรู้จักโคลอสเซียม ประวัติย่อ

โคลอสเซียม คือ สนามกีฬาแบบทรงกลม ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยุคนั้น โดยมีเส้นรอบวงถึง 527 ม.และมีความสูงมากถึง 57 ม. มีทั้งหมดอยู่ด้วยกันถึง 4 ชั้นเป็นการก่อสร้างมาจากหินทรายสมัย ค.ศ. 72 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ จักรพรรดิเวสปาเซียน และได้ก่อสร้างเป็นเวลานานถึง 8 ปี และได้สร้างแล้วเสร็จตอนปี ค.ศ. 80

ถือได้ว่าใช้เวลาไม่นานถ้าหากเทียบการก่อสร้างในยุคนั้น แต่มีสิ่งที่น่าทึ่ง ก็คือนอกจากจะเป็นโคลอสเซียม คือ สนามกีฬาขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้มากถึง 50,000- 80,000 คนแล้ว สนามกีฬากรุงโรม แห่งนี้ยังมีโครงสร้าง ที่มีความแข็งแรงมาก แถมยังมีระบบการระบายน้ำ ที่ถือว่ายอดเยี่ยมอย่างมาก ทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาจะไม่มีน้ำขังอย่างเด็ดขาด

ความจริงมีจุดประสงค์ในการสร้าง เจ้าสิ่งมหัศจรรย์นี้ขึ้นมา ก็เพื่อใช้เป็นโคลอสเซียม คือ สนามประลองฝีมือของกษัตริย์ ตลอดไปจนถึงเป็นสถานที่จัดงาน กลาดิเอเตอร์ ที่พวกนักสู้มักจะมาท้าทาย ประลองการต่อสู้เพื่อให้เกิดความบันเทิง ต่อผู้ที่มาเยี่ยมชม ส่วนใหญ่แล้วงานนี้มักจะเกิดจากพวกทาส ที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างรุนแรง

และยังถูกกีดกันจากสังคม ส่วนใหญ่ผู้ที่อาสาเข้ามาประลองนี้ จะต้องมีการต่อสู้กันเพื่อจะได้รับอิสรภาพ และได้เกียรติยศกลับไป แต่ใดๆ ก็คือมีความเสี่ยงต่อชีวิต เพราะนอกจากจะต้องสู้ กับคู่ที่ประลองแล้ว ก็อาจจะทำให้ถึงแก่ความตายได้ ซึ่งบางครั้งก็กลายเป็นสนามประลอง กับพวกสัตว์ร้าย และมีมุมหนึ่งของสังเวียนนี้ มีชื่อที่เรียกกันว่า ประตูแห่งความตาย หรือ Gate of Death ที่มีไว้เพื่อขนย้ายศพ ของผู้ประลองของผู้พ่ายแพ้ ออกจากสนามโคลอสเซียมนั่นเองค่ะ

ประวัติโคลอสเซียม

สนามกีฬาโคลอสเซียม ความสําคัญ ในปัจจุบันและเป็นโคลอสเซียม อารยธรรมใด

คือเป็นสนามที่มีอารยธรรมแบบโรมัน และถึงแม้ว่าที่นี่จะได้ชื่อว่า สนามที่เต็มไปด้วยการนองเลือด และความโหดร้าย ซึ่งถ้าพูดถึงรูปแบบการก่อสร้างแล้ว ก็ต้องยกให้กับชาวโรมันของยุคนั้นจริงๆค่ะ และการที่จะสร้าง สนามกีฬากรุงโรม ที่มีขนาดใหญ่ และมีความแข็งแรงแถมยังสร้างได้รวดเร็วขนาดนี้ และยังกลายเป็นต้นแบบของสนามกีฬา ในยุคหปัจจุบัน ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไร ที่ทำให้ที่นี่กลายเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

สำหรับใครที่ต้องการจะเดินทาง เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมด้านใน สนามกีฬากรุงโรม แห่งนี้ คือจะต้องซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปเยี่ยมชม ก็สามารถจองตั๋วและหาซื้อเข้าไปชมได้ด้วยตัวเอง และถ้าหากว่าใครที่มีเวลาไม่มากพอ ก็ยังสามารถเดินชมความยิ่งใหญ่ ของสนามกีฬาแห่งนี้ได้จากด้านนอก

และถ้าหากเดินไปสักพัก ก็จะพบเข้ากับ จัตุรัสโรมัน ถือตอนนี้กลายเป็นซากอารยธรรม ที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เคยเป็นความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจหรือว่าการค้า การเมือง และศาสนา ในยุคที่เคยเป็นสถานที่ ที่รุ่งเรืองมาก่อนในสมัยโรมัน ทำให้ที่นี่ก็เลยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่ง ที่มีความสำคัญต่อ ประวัติโคลอสเซียม ที่ไม่ได้แพ้ที่ใดในโลก

ต่อมาเมื่อเกิดภัยจากธรรมชาติ ที่มีแผ่นดินไหวอยู่หลายครั้ง รวมไปถึงภาวะของสงคราม ทำให้ต้องเกิดการบูรณะซ่อมแซมซึ่งถือว่าได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกตอนปี 217 แต่ต่อมาก็ถูกทอดทิ้ง ซึ่งต่อมาก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของอิตาลี และโป๊ปเกรกอเรียส แมกนุส ที่เป็นองค์พระประมุขของคริสตจักรคาทอลิกในช่วงปี 590-604 ได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่

โคลอสเซียม อารยธรรมใด

สรุปได้มีการเปลี่ยน โคลอสเซียม ให้กลายเป็นโบสถ์

จากที่เคยเป็นสนามประลองยุทธ ที่เต็มไปด้วยเลือดของนักสู้อันเลื่องชื่อ แต่กลับให้กลายมาเป็นโบสถ์ ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาโคลอสเซียม ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยาวนานตลอดมาถึง 1,900 ปี และล่าสุดตอนปี 1992 ก็ได้งบจากธนาคารเอกชนแห่งหนึ่งที่มาทำการบูรณะ และซ่อมแซมครั้งใหญ่ ทำให้ที่นี่ได้สร้างและซ่อมแซมจนแล้วเสร็จสมบูรณ์จริงๆ ก็คือตอนปี 2003

เมื่อโคลอสเซียมได้กลายเป็นสัญลักษณ์ ที่ได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ร่วมกับความก้าวหน้าของศิลปะ และวัฒนธรรมของกรุงโรมโบราณ ซึ่งได้เป็นการสะท้อนในแง่มุมที่มืดมนของ ประวัติโคลอสเซียม ในประวัติศาสตร์โรมัน อย่างเคยได้นำเอานักโทษมาต่อสู้กับสัตว์ร้ายอย่างสิงโต หรือว่าฮิปโป หรือกระทิงดุ

จากการบันทึกทำให้ทราบได้ว่า มีสัตว์ที่ถูกฆ่าให้ตายในสถานที่แห่งนี้มากถึง 5 พันตัว ทำให้ โคลอสเซียม จึงมีความสำคัญทาง ประวัติโคลอสเซียม มากกว่า จะเป็นเพียงแค่ต้นแบบของสนามกีฬา อย่างที่เราเข้าใจกันอีกด้วยค่ะ