นครเพตรา มรดกโลกที่อยู่ในอารยธรรมโบราณ นครเพตรา อยู่ที่ไหน

นครเพตรา

ถ้าหากว่าเราจะพูดถึง petra Jordan ซึ่งมีมรดกโลกอยู่ด้วยอย่าง นครเพตรา ที่นี่ก็คือมหานคร เมืองเพตรา ที่เป็นหินแกะสลักแบบโบราณ ที่ได้หายสาบสูญไปแล้วนานนับพันปี ทำให้ที่นี่ก็เลยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่มีคนเดินทางไปเที่ยวกันไม่ได้แพ้ มาชูปิกชู หรือคนที่เดินทางไป เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์

ประเทศจอร์แดนมีพื้นที่ของประเทศ 2 ใน 3 ที่เป็นทะเลทราย ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้เลย แต่ไม่น่าเชื่อว่าประเทศนี้เขากลับมีร่องรอย ของอารยธรรมแบบโบราณเยอะมาก ทำให้ดินแดนแห่งทะเลทรายนี้ กลับเป็นสิ่งที่ดึงดูดและทำให้มีผู้ที่หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของมัน

เมืองเพตรา

นครเพตรา หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่น่าสนใจ

มหานครเพตรา หรือ petra Jordan ก็คือนครหินแกะสลักโบราณที่ได้ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา ซึ่งเป็นหุบเขาที่ได้ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซี และทะเลอัคบาของจอร์แดน นครแห่งนี้เดิมนั้นคือนครที่เจริญก้าวหน้าทางด้านการค้าขนาดใหญ่ ที่ในที่สุดก็ถูกทิ้งร้างเป็นเวลายาวนานถึง 700 ปีและจนกระทั่งมีนักสำรวจของสวิตเซอร์แลนด์เดินทางผ่านมาและเจอเข้าก็ตอนปี 1812

สำหรับนครเพตรา อยู่ประเทศ จอร์แดนที่เขาได้รับการขึ้นทะเบียนไว้จากองค์การยูเนสโก้ ซึ่งได้มีการอธิบายแนบท้ายไว้ว่า เป็นหนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด และถือว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมนุษยชาติ ซึ่งในปัจจุบันก็สามารถเดินทางเข้าไปได้ โดยอาศัยม้าเท่านั้น

ซึ่งในเวลาต่อมาสถานที่แห่งนี้ ก็ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ และก็ได้เปิดโหวดให้ลงคะแนนทั่วไปทั้งทางเน็ตและมือถือ

นครเพตรา อยู่ประเทศ

เรื่องราวและประวัติของ petra Jordan

ความจริงแล้วมีคนกลุ่มแรก ที่เดินทางมาถึงที่นี่ก็คือพวกเอไดไมต์ ซึ่งมาอยู่ประมาณ 1000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ชนชาติที่สร้างเมืองนั้นเป็นชาวนาบาเทียนนครเพตรา สร้างขึ้นเพื่อ อะไรเราอาจจะไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริง แต่ตอนศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ซึ่งปกติพวกเขานั้นเป็นเพียงแค่พวกชนเผ่า ที่เร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายของอาหรับ

แต่ว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกนักสกัดผาหินทราย เพื่อนำมาใช้เป็นบ้านเรือน และส่วนใหญ่ก็อาศัยอยู่ในถ้ำที่มีอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นเต็มไปหมด อาชีพของพวกเขานั้นก็คือการเลี้ยงแกะ ต่อมาก็เปลี่ยนมาเป็นค้าขายรวมไปถึงเป็นผู้รับจ้างเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้กับพวกกองคาราวาน

และด้วยความที่คนเผ่านี้นั้นมีความซื่อสัตย์ ทำให้แค่เก็บค่าธรรมเนียมจ ากผู้ที่เดินทางแค่นั้นก็ช่วยให้พวกนาบาเทียนมีชีวิตที่รุ่งเรือง

และสาเหตุที่ petra อยู่บนดินแดงอันแห้งแล้ง ที่มีแต่หินกับทรายนั้นน่าจะมาจาก มหานครนี้ตั้งอยู่ตรงเส้นทาง ทางการค้าที่สำคัญของโลกในขณะนั้นที่มีอยู่แค่ 2 สายเท่านั้น ซึ่งได้แก่เส้นทางสายตะวันออก และสายตะวันตก บนคาบสมุทรอาหรับและอ่าวเปอร์เซียยาวไป จนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองที่อยู่ในทะเลทราย แต่ที่นี่เขาก็มีสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้ตามไปย้อนรอย ประวัติศาสตร์เช่นกันอย่างเช่น วิหารใหญ่ใน เมืองเพตรา สำหรับชาวเพตราแล้ว พวกเขานั้นนับถือเทพเจ้าสองพระองค์นั่นก็คือ เทพดาซาเรส คือเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และอีกองค์ก็คือ เทพอัลอัซซา ที่เธอคือชายาของเทพ ดูซาเรส และได้รับฉายาว่าเทพีแห่งน้ำ

นครเพตรา สร้างขึ้นเพื่อ

จากที่เกิดการล่มสลายของเมืองนี้ ที่มาจากเกิดเมืองใหม่ขึ้นมาและเส้นทางการค้าขายแบบใหม่ ที่ดูเหมือนว่าจะปลอดภัยและสะดวกกว่าในช่วงเวลาต่อมา ซึ่งนคร petra ที่เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยการค้า ทำให้เกิดการสูญเสียอำนาจลงไปเรื่อยๆ และเมื่อเมืองที่เกิดความอ่อนแอทำให้ต่างชาติก็เข้าโจมตีได้อย่างง่ายดาย

ต่อมาปี ค.ศ 106 ทางฝ่ายจักรพรรดิทราจัน ของโรมัน ได้เข้ามาทำการยึดครองมหานครเพตรานี้ ให้เข้าไปอยู่ในจังหวัดเดียวกันกับจักรวรรดิโรมัน แต่ทางนคร petra ก็ยังอยู่เรื่อยมาจนถึงประมาณปี 300 ตอนที่จักรวรรดิโรมันเริ่มจะอ่อนแอลงบ้างและพอมาถึงปี 363 ก็ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้อาคารหลายแห่งที่รวมไปถึงระบบชลประทานที่เคยบอกว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ต้องพังลงมาอย่างน่าเสียดาย ทำให้ในศตวรรษที่ 5 เพตรา ดินแดนอารยธรรม ก็ได้กลายเป็นที่ตั้งของทางคริสต์ศาสนา แต่ต่อมาเกิดการถูกยึดจากพวกมุสลิมตอนศตวรรษที่ 7 ทำให้เกิดการเสื่อมถอยมาต่อเนื่อง จนทำให้ไม่มีใครสามารถอยู่ที่นั่นได้อีกเลยค่ะ

สรุป นครเพตรา ถูกค้นพบในเวลาต่อมา

ถึงแม้ เมืองเพตรา ลักษณะเด่น ที่เป็นซากของตำนานความเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างก็อยากรู้อยากเห็น ว่าพวกผู้คนที่เขาอยู่ในยุคกลางนั้นมันเป็นอย่างไร อย่างเช่นมีสุลต่านองค์หนึ่งของอียิปต์ ที่เคยเดินทางไปเยี่ยมชมตอนช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 เพียงเพื่อต้องการอยากจะเห็นแก่สายตาสักครั้ง

ต่อมาก็มีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ ได้เดินทางจากจอร์แดนไปจนถึงอียิปต์ ทำให้เขาได้ศึกษาถึงแหล่งที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ ทำให้เขาได้เห็นทางด้านหน้าของนครเพตรา ซึ่งตอนนั้นผู้นำท้องถิ่นได้สั่งห้ามไม่ให้เขาลงไปทำอะไรทั้งนั้นที่นั่น ทำให้เขาก็เลยแอบทำบันทึกอย่างย่อเอาไว้ขณะที่เดินผ่านไปเท่านั้น

ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เพียงวาดไว้แบบคร่าวๆแต่ก็ได้ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เปิดออกไปให้ชาวโลกได้รับรู้ ซึ่งต่อมาตอนปี 1826 มีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง ได้เดินทางเข้าไปสำรวจบริเวณนั้น และได้เขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า Boyage De I’Arabir Petree ซึ่งแปลว่า การเดินทางในเพตราแห่งอาหรับ และหนังสือที่เกี่ยวกับ นครเพตรา เล่มนี้นี่เองทำให้ชาวโลกได้เห็นภาพและความรู้ต่างๆ ในมหานคร เมืองเพตรา แห่งนี้ค่ะ